การเรียนร่วมของเด็กพิเศษ

การเรียนร่วมของเด็กพิเศษ

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การบันทึกประจำวัน

ประจำวันที่ 14/11/2556 คาบที่ 2
กิจกรรม
-อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม เพื่อรับมอบหมายงานกลุ่ม กลุ่มดิฉันได้เรื่อง ดาวว์ซินโดรม
สรุปเนื้อหาที่เรียนในวันนี้ คือ


เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ความหมาย
1.ทางการแพทย์  มักเรียกว่า"เด็กพิการ"
หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
2.ทางการศึกษา
คือเด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
สรุป
-เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
-จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด และฟื้นฟู
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณืและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล
ประเภท
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญาโดยทั่วไปเรียกว่า"เด็กปัญญาเลิศ"
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
กระทรวงศึกษาธิการแบ่งออกเป็น9ประเภท
  1)เด็กบกพร่องทางสติปัญญา(Children with intellectual disabilities )
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยมี2 กลุ่มคือ เด็กเรียนช้าและเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
-สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติ
-เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
-ขาดทักษะในการเรียนรู้
-มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-มีระดับสติปัญญา(IQ)ประมาน 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
1.ปัจจัยหลักคือ ภายนอก เช่น เศรษฐกิจ ครอบครัว สภาพแวดล้อม การเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็ก การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2.ภายใน เช่น พัฒนาการช้า สาเหตุหลักคือร่างกาย การเจ็บป่วย 
เด็กปัญญาอ่อน
-เด็กที่มีภาวะการหยุดชะงัก
-แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
-มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
-มีความจำกัดทางด้านทักษะ
-มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
แบ่งตามระดับสติปญญา(IQ)ได้4กลุ่ม
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า20
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆได้เลย ต้องการการดูแลเฉพาะรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักIQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นต่างๆ
3.เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพหรือทำงานง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออโดยเรียกว่า T.M.L
4.เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้โดยเรียกทั่วไปว่า E.M.R
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูดหรือพูดไม่สมวัย
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิด อารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
-ทำงานช้า
-รุนแรง ไม่มีเหตุผล
-อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อไม่ประสานงานกัน
-ช่วยตนเองได้น้อยกว่าในวัยเดียวกัน
   2)เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with hearing impaired)
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภทคือ เด็กหูตึงและเด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟังจำแนกกลุ่มย่อยได้4 กลุ่ม
1.เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 db
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงที่จากไกลๆ
2.เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 db
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติ ในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
-จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-มีปัญญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูกเสียงเบา
3.เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 50-70 db
-เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังแล้าเข้าใจคำพูด
-เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
-พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4.หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 db
-ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
-การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
-เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
-เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
-เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
-เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
-ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
-ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 db
ลักษณะ
ไม่ตอบสนองต่อเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
มักแสงท่าทาง
พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงดังเกินความจำเป็น
วลาฟังมักจะมองปากผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
ไวต่อการสะเทือนและการเคลื่อนไหวรอบตัว
มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดคุย
   3)เด็กบกพร่องทางการเห็น(Children with visual impairments)
-เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเรือนราง
-มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
-สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-มีลานสายตากว้างได้ไม่เกิน 30องศา จำแนกได้2ประเภทคือ เด็กตาบอดและเด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กที่มีความบกพร่องสายตา
สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
เมื่อทดสอบสายตาปกติข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,20/60,6/60,20/200 หรือน้อยกว่านั้น
มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดได้ไม่เกิน 30องศา
ลักษณะ
เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
ก้มศรีษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
มีความลำบากใจในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น